การสร้างวัดมหธาตุ การขยายอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างดินแดน

 การสร้างวัดมหธาตุ การขยายอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างดินแดน

ในแผ่นดินสุวรรณภูมิเมื่อคราวพุทธศักราชที่ ๑๗๙๒ หรือราวปี ค.ศ. ๑๒๕๐ อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งปกครองเกาะสุมาตราและคาบสมุทรมาลายูได้ขยายอิทธิพลไปถึงดินแดนภาคใต้ของไทยในปัจจุบัน การสร้างวัดมหธาตุบนเกาะยาวใหญ่ (Yai) ในจังหวัดภูเก็ต ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของการขยายอำนาจและความรุ่งเรืองของศรีวิชัย

วัดมหธาตุ สร้างขึ้นด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ ฐานมีความกว้างราว ๑๐ เมตร และสูงถึง ๑๔ เมตร ตัวเจดีย์เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีซุ้มประตูทั้งสี่ทิศ ภายในมีโบสถ์และอูฐมงคล

การสร้างวัดมหธาตุนั้น เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย

  • ความต้องการขยายอำนาจ: ศรีวิชัยต้องการแสดงอำนาจเหนือดินแดนใหม่ที่เข้าครอบครอง การสร้างเจดีย์ขนาดใหญ่ถือเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองและศักยภาพของอาณาจักร

  • การเผยแผ่ศาสนาพุทธ: ศรีวิชัยนับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน การสร้างวัดมหธาตุจึงมีจุดประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ศาสนาและส่งเสริมความเชื่อของชาวพุทธในดินแดน

  • การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม: อาณาจักรศรีวิชัยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย สถาปัตยกรรมของวัดมหธาตุสะท้อนอิทธิพลทางวัฒนธรรมทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด

การสร้างวัดมหธาตุส่งผลกระทบต่อภูมิภาคนี้ในหลายด้าน

ด้านเศรษฐกิจ: การก่อสร้างวัดขนาดใหญ่ สร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น

ด้านสังคม: วัดมหธาตุกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นสถานที่สำหรับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นที่รวมตัวของผู้คน

ด้านวัฒนธรรม: วัดมหธาตุเป็นตัวอย่างของการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอินเดียและท้องถิ่น สถาปัตยกรรม ศิลปะ และประเพณีของวัดยังคงมีอิทธิพลต่อชุมชนในพื้นที่จนถึงปัจจุบัน

**

ชื่อ วัสดุ สัญลักษณ์
วัดมหธาตุ หิน, อิฐ ความรุ่งเรืองและอำนาจของศรีวิชัย
องค์พระ หิน ศาสนาพุทธ

การขุดค้นทางโบราณคดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัดมหธาตุและบทบาทของมันในประวัติศาสตร์ของภาคใต้ไทย ซากโบราณวัตถุ เช่น เครื่องปั้นดินเผา เศษกระเบื้อง และเหรียญที่ถูกค้นพบ

ช่วยให้เราเข้าใจถึงวิถีชีวิต สังคม และการค้าของผู้คนในสมัยนั้น

วัดมหธาตุเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและอำนาจทางการเมืองของอาณาจักรศรีวิชัย มันยังคงยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบัน

เป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมโบราณ และเป็นมรดกที่สำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ของภาคใต้ไทย